Shortfic [HSJ-NakaOka] ปาร์ตี้รักอลเวง (Yaoi) - Shortfic [HSJ-NakaOka] ปาร์ตี้รักอลเวง (Yaoi) นิยาย Shortfic [HSJ-NakaOka] ปาร์ตี้รักอลเวง (Yaoi) : Dek-D.com - Writer

    Shortfic [HSJ-NakaOka] ปาร์ตี้รักอลเวง (Yaoi)

    อลเวงรักหน้าอาคาร 2

    ผู้เข้าชมรวม

    523

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    9

    ผู้เข้าชมรวม


    523

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  14 ต.ค. 55 / 05:57 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    แนะนำตัวละคร



    Yuto  Nakajima





    Keito  Okamoto

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


      ปาร์ตี้รักอลเวง
       

      ผมเดินเข้ามาในห้องเรียนที่คลาคล่ำไปด้วยนักเรียน ปี 3 ห้อง A  อะฮ้า!! ห้องนี้เรียนเก่งสุดล่ะจะบอกให้  ผมตรงเข้าไปนั่งในที่ประจำของผม  ที่นั่งหลังสุดติดกับหน้าต่าง  ผมชอบบริเวณที่อากาศโล่งๆจึงเลือกนั่งที่ตรงนี้  และที่สำคัญมันทำให้ผมแอบมองใครบางคนได้โดยที่เขาไม่รู้ตัวอีกด้วย

      ผมมองไปอีกด้านหนึ่งของห้องเรียน  ที่นั่งหลังสุดเหมือนกันกับผมแต่เขานั่งติดประตู  เจ้านั่นกำลังหลับอยู่ทั้งๆที่ยังไม่เริ่มบทเรียนเลยด้วยซ้ำ  ระหว่างเราสองคนไม่มีนักเรียนคนอื่นมาคั่นกลางทำให้ผมสามารถมองหน้าเจ้านี่ได้ทั้งวัน  เอ่อ... ทั้งวันจริงๆนะครับ  เผลอเมื่อไรเป็นต้องมองทุกที  ยกเว้นเวลาที่เขาตื่นแล้วเท่านั้นแหละ

      ผมชื่อ นากาจิม่า ยูโตะ  ส่วนคนที่ผมแอบมองอยู่คือ โอคาโมโตะ เคโตะ  นักเรียนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาเมื่อปีที่แล้ว  เอิ่ม... จะยังเรียกว่านักเรียนใหม่ได้หรือเปล่าก็ไม่รู้  แต่ก็ช่างเถอะมันไม่สำคัญ  สำคัญที่ว่าผมแอบหลงรักเจ้านี่ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันเลย  ทั้งดวงตาคมที่ฉายมองไปทั่วห้อง  จมูกโด่งสวยได้รูปและริมฝีปากเป็นกระจับนั่นทำให้ผมแทบคลั่งทุกครั้งที่มอง  โดยเฉพาะเวลาที่เขายิ้มนะ  โอ๊ย!  คนอะไรจะน่ารักขนาดนี้!  แต่ว่า จนป่านนี้ผมก็ยังไม่กล้าที่จะจีบเขาเลย  ก็เขาน่ะ  นอกจากจะมีเสน่ห์กับผู้ชายด้วยกันอย่างผมแล้ว  พวกผู้หญิงเองก็หลงเสน่ห์เขาไม่เบา  บางครั้งผมก็เลยไม่รู้ว่า  ในฐานะผู้ชายอย่างผมแล้ว  ผมควรตามจีบเขาหรือควรอิจฉาที่เขามีสาวๆมาห้อมล้อมดีนะ?

       

      เสียงกริ่งพักเที่ยงดังขึ้น  จากห้องเรียนที่เงียบสนิทเพราะนักเรียนตั้งใจเรียน(เว่อร์)ก็พากันส่งเสียงเจี้ยวจ้าวอย่างกับนกกระจอกแตกรัง  ผมละเอือมจริงๆ  ผมหันไปมองเจ้านั่นอีกครั้ง  เขาเก็บหนังสือที่แทบไม่ได้เปิดเลยใส่กระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องไป  ผมก็เดินตามน่ะสิ  ผมยังมีสิ่งที่ยังค้างคาต้องพูดกับเขาอยู่  ทั้งๆที่รู้ว่าจะโดนปฏิเสธก็เถอะ  ครั้งก่อนๆเพราะมัวแต่ไปกันท่านังชะนีทั้งหลายบวกกับความไม่กล้าด้วยทำให้ผมไม่ได้บอก  แต่วันนี้ผมต้องบอกเขาให้ได้

      “เคโตะคุง!  วันนี้ไปกินข้าวกับนามิจังนะ”  อิคุระ นามิ  นักเรียนปี 2 ห้อง B  ดีกรีเป็นถึงดาวโรงเรียน 2 ปีซ้อน จู่ๆเธอก็กระโดดเข้ามาเกาะแขนเคโตะของผม(?)เฉยเลย  ผมหน้ามุ่ยอย่างไม่ตั้งใจ  ทั้งๆที่วันนี้ตั้งใจจะขอเคโตะเป็นคนแรกแท้ๆ แต่กลับโดนนังชะนีชิงตัดหน้าไปก่อนซะได้

      “เอ่อคือ....”  เคโตะตอบตะกุกตะกัก  นามิใช้นิ้วชี้เรียวสวยของเธอแตะริมฝีปากของเคโตะไว้  บังอาจนัก!

      “อย่าปฏิเสธนามิจังเลยนะคะ  คืนพรุ่งนี้ทางโรงเรียนจะมีการจัดปาร์ตี้กีฬาสานสัมพันธ์  มีการใส่หน้ากากด้วยนะคะ  น่าตื่นเต้นจัง”  นังนามิทำท่าบิดตัวเขินอาย  เชอะ! เสแสร้งล่ะสิ  “ถ้าเคโตะคุงไม่รังเกียจสาวน้อยผู้น่าสงสารอย่างนามิจัง  เคโตะคุงไปงานปาร์ตี้กับนามิจังนะ  นะนะเคโตะคุง  ไปนะคะ”  เจ้าหล่อนทำตาบ้องแบ๊วใส่เคโตะของผมใหญ่เลย

      “เอ่อ...”  เคโตะก็เอาแต่อ้ำๆอึ้งๆอยู่นั่นแหละ  ปฏิเสธไปเลยเซ่!

      และก่อนที่เคโตะจะตัดสินใจอะไรไป  ผมเดินตรงเข้าไปหาพวกนั้นแล้วคว้าแขนของเคโตะข้างที่นามิจังเกาะอยู่  เคโตะมองผมอย่างแปลกใจแต่ผมไม่ได้ตอบข้อสงสัยของเขา  ผมหันไปถลึงตาใส่นามิ  “เป็นผู้หญิงรู้จักยางอายซะบ้าง  มาขอผู้ชายก่อนแบบนี้คิดว่ายังมีศักดิ์ศรีอยู่หรือไง  เคโตะเขาสุภาพเกินกว่าจะว่าเธอแต่ฉันไม่ใช่  เธอไปหาคนอื่นดีกว่า  เธอไม่เหมาะกับคนอย่างเคโตะหรอก”  ผมไม่รู้หรอกว่าที่ผมพูดไปน่ะมันรุนแรงเกินไปหรือเปล่า  รู้แต่ว่าพอผมพูดจบนังชะนีนามิก็กรีดร้องแล้ววิ่งหนีผมไปเลย  เอ่อดี  ไปซะได้ก็ดี  ผมหันไปยิ้มให้เคโตะ  แต่ทว่า....!

      เคโตะขมวดคิ้วใส่ผม  น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังของเขาถามผมด้วยความไม่พอใจ  “ทำอะไรของนาย?”  เขาดึงแขนของเขาออก  “ทำแบบนี้ต้องการอะไรกันแน่”  ผมไม่ตอบได้แต่ยืนนิ่ง  เขาเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วถอนหายใจคล้ายกำลังระงับอารมณ์  “พรุ่งนี้ก็ปาร์ตี้แล้วแต่ฉันยังไม่มีคู่เลย  นายทำแบบนี้เสียหายหมดเลยรู้มั้ย”  เขาว่าแล้วเดินหนีไป  ผมก็ตามไปง้อสิครับ

      ผมเดินตามเคโตะไปเรื่อยๆจนถึงหน้าห้องพยาบาลที่เป็นทางผ่านไปสู่โรงอาหาร  นักเรียนคงไปกันหมดแล้วที่ตรงนี้เลยไม่เหลือใครสักคนเดียว  “เดี๋ยวสิเคโตะ”  ผมเรียก

      เคโตะหยุดเดินแล้วหันมาขมวดคิ้วใส่ผมอีก  นี่เขายังไม่หายโกรธอีกเหรอ?  “อะไรอีกล่ะ  กี่ครั้งแล้วที่ฉันต้องพลาดคู่ไปงานเพราะนาย  สนุกนักหรือไงที่กวนประสาทคนอื่นเขาแบบนี้”

      “ฉันไม่ได้จะกวนประสาทนายสักหน่อย  ฉันก็แค่....”  ฉันก็แค่ไม่อยากให้นายไปงานกับคนอื่นเท่านั้นเอง

      เคโตะหน้ามุ่ย  “ถ้าฉันเป็นผู้หญิงฉันคงคิดว่านายอยากจะขอฉันไปงานด้วยแล้วนะ  แต่นี่ฉันเป็นผู้ชาย  นายก็เป็นผู้ชาย  ถ้านายไม่มีคู่ไปนายก็อย่าทำให้คนอื่นเขาติดร่างแหไปด้วยสิ”

      “แล้วนายอยากจะไปงานกับฉันมั้ยล่ะ?”

      “ห้ะ?”

      ผมสูดหายใจเข้าลึกแล้วถามเขาอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น  ผมรู้อยู่หรอกว่าเคโตะต้องปฏิเสธ  ผู้ชายจะไปกับผู้ชายได้ยังไงกัน  “ฉันถามว่า  นายอยากจะไปงานปาร์ตี้กับฉันมั้ย”

      เคโตะทำหน้าเหวอแบบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองก่อนที่ใบหน้าเขาจะแดงก่ำด้วยความโกรธ  “ไอ่เกย์โรคจิต!  เขาเดินปึงปังหนีไปก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นการวิ่งหนีจนลับสายตา

      ผมถอนหายใจด้วยความผิดหวัง  โธ่เอ๊ย!  พลาดจนได้

       

      ผมเดินไปนั่งในโรงอาหารตามลำพัง  เกือบจะได้เวลาเข้าเรียนแล้วทำให้ตอนนี้ทั้งโรงอาหารจึงเหลือแค่ผมคนเดียว  ผมรู้สึกไม่อยากเข้าไปเรียนเลย  ไม่อยากไปเผชิญหน้ากับเคโตะตอนนี้  ก็เขาโกรธผมมากขนาดนั้นนี่นา

      “ยูโตะ”  น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังอันคุ้นหูของผมดังขึ้น  ผมหันหลังกลับไปมองทันที  เคโตะนั่งลงข้างๆผมด้วยใบหน้าที่สงบขึ้นกว่าเดิม  ยิ่งได้มองใกล้ๆแบบนี้แล้วยิ่งทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก  ผมเผลอมองใบหน้าขาวเนียนนั่นอีกแล้ว  ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มกันแน่นอย่างเคร่งเครียด  “ข้อเสนอของนายฉันลองคิดดูแล้วนะ  นายยังจะอยากไปงานกับฉันอยู่หรือเปล่า”  เขาถามผมโดยไม่มองหน้า

      “อยากไปสิ!  ผมร้องกลับไปอย่างตื่นเต้น

      เคโตะเงยหน้าขึ้นมายิ้มน้อยๆ  “ถ้างั้นตกลง  ถึงยังไงซะฉันก็หาคู่ไปงานไม่ได้แล้วล่ะ  ไปกับนายก็คงไม่เป็นไร  งานนี้ใส่หน้ากากคนคงดูไม่ออกหรอกว่าฉันเป็นใคร”

      ผมแทบอยากจะร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจแต่ผมก็ระงับอาการไว้  “จริงเหรอเคโตะ!  เคโตะพยักหน้าน้อยๆ นั่นทำให้ผมยิ้มแก้มแทบปริ  “แล้วนายจะใส่ชุดแบบไหนล่ะ”

      เคโตะหัวเราะอย่างอายๆ  แก้มใสขึ้นสีระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด  “ก็ต้องใส่ชุดผู้หญิงสิ  หรือว่านายจะใส่แทนฉันล่ะ  แต่แบบนั้นคงไม่เหมาะแน่  ฉันตัวเล็กกว่านายเพราะฉะนั้น”  เขายักไหล่อย่างไม่ยี่หระ  “ฉันก็คงหนีไม่พ้นต้องใส่อยู่ดี  ถ้าไม่ใส่คนก็รู้หมดว่าฉันเป็นใคร  แบบนั้นฉันไม่เอาด้วยหรอก”  เขายิ้มยิงฟันให้ผม  นั่นทำให้ผมแทบละลายไปกองแทบเท้าของเขาในตอนนั้นเลย  เขาลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มเขินๆ  “ฉันไปนะ  เจอกันที่ห้อง”  เขาโบกมือด้วยท่าทางน่ารักก่อนจะเดินจากไป

      ผมมองตามร่างนั้นจนลับสายตา  สำเร็จเหรอ?  ผมแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลย  “เย้!!!!!!  ผมลุกขึ้นร้องตะโกนลั่นโรงอาหารจนแม่ค้าทุกคนหันมามอง  ผมได้แต่ยิ้มพลางก้มหัวขอโทษแล้ววิ่งหนีจากที่นั่นทันที  แต่หลังจากตอนนั้น  วันนั้นทั้งวันผมก็ไม่ได้เจอเคโตะอีก  ก็แน่ล่ะสิก็ช่วงบ่ายเป็นเวลาเตรียมงานสำหรับคืนพรุ่งนี้นี่นา  โรงเรียนหยุดช่วงบ่ายผมลืมไป  ฮ่าๆๆ  ตื่นเต้นจนลืมวันเวลาเลยนะ  แต่พอคิดดูอีกทีเคโตะก็คงลืมเหมือนกัน  เขาก็ตื่นเต้นเหมือนผมใช่มั้ยเนี่ย ^^

       

      ยี่สิบสี่ชั่วโมงผ่านไปอย่างเชื่องช้า.....  มากกกกก.....  จนผมคิดอยากจะทุบนาฬิกาทิ้งเสียเลย  ผมมองดูเวลาอีกครั้ง  จะหกโมงเย็นแล้ว  ใกล้ถึงเวลาแล้วสินะ  ตื่นเต้นจัง  ผมอยากเห็นเคโตะในชุดหญิงสาวเร็วๆ

      ผมส่องดูตัวเองในกระจกอีกครั้ง  ตอนนี้ผมอยู่ในชุดสูทสีเทาเข้ม  ผูกหูกระต่ายซะสวยเลยเชียว  ดูไปดูมาผมก็หล่อเหมือนกันนะ  เหมือนเจ้าบ่าวที่กำลังจะแต่งงานเลย  ผมยิ้มให้กระจกอีกครั้งก่อนจะหยิบหน้ากากขึ้นมาถือไว้  หน้ากากธรรมดาๆนี่แหละ  ดัดแปลงจากหน้าเหยี่ยวปิดแค่ครึ่งหน้า  ผมก็ไม่เข้าใจอีกล่ะว่าทำไมต้องใช้หน้ากากที่เป็นนกด้วย  แต่มันก็สวยดีนะ

      คนขับรถรอผมอยู่แล้วเมื่อผมลงมาถึงชั้นล่าง  ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างหลังก่อนที่คนขับรถจะขับไปบ้านของเคโตะ  จริงๆ เคโตะบอกว่าจะมาเองแต่ผมก็ดึงดันจะไปรับให้ได้  รถจอดลงที่หน้าบ้านของเขา  ผมลงไปกดกริ่งหน้าบ้านสักพักหนึ่งคุณเคนอิจิคุณพ่อของเคโตะก็ลงมาเปิดประตูให้ผมแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

      “อ้าว!  ยูโตะคุง  เคโตะเขาไปแล้วล่ะ  พ่อเพิ่งจะไปส่งเขามาเมื่อกี้เอง”

      “เอ๋!!  ไหนเขาบอกว่าจะรอผมไงครับ”

      คุณพ่อยิ้มน้อยๆ  “คงจะตื่นเต้นล่ะมั้ง  เห็นแต่งตัวซะสวยเชียว”  พูดแค่นั้นคุณพ่อก็หัวเราะใหญ่เลย  “เอ่อๆ  ยูโตะคุงก็หล่อนะวันนี้  ดูแลลูกชาย  เอ๊ย!  วันนี้ลูกชายพ่อกลายเป็นลูกสาวแล้วนี่”  พูดแค่นั้นคุณพ่อก็หัวเราะอีกแล้ว  จะมีความสุขอะไรนักหนานะ  “ดูแลลูกสาวของพ่อดีๆล่ะ  เจ้านั่นมันกลัวผีจะตาย  เคโตะบอกว่าจะรอที่หน้าประตูที่จัดงาน”

      ผมลาคุณพ่อแล้วกลับไปขึ้นรถ  ก่อนที่รถจะขับออกไปผมยังเห็นรอยยิ้มที่ระบายบนใบหน้าของคุณพ่ออยู่  อยากรู้จังนะว่าเคโตะใส่ชุดอะไรไปวันนี้  ตื่นเต้นจัง

       

      รถของผมแล่นเข้าไปจอดบริเวณที่จัดงาน  ผมลงจากรถ  พวกนักเรียนมากันเยอะแล้วแต่ผมยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเคโตะเลย  ผมเดินเข้าไปที่หน้าประตู  นักเรียนปี 1 เป็นผู้ให้การต้อนรับและทำการเช็คชื่อนักเรียนที่มาเข้าร่วม  ผมเดินเข้าไปถามหนึ่งในนั้น  “โอคาโมโตะ  เคโตะมาหรือยัง”

      เด็กปีหนึ่งคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองผม  “รุ่นพี่เคโตะไม่ได้มาครับ  เขาบอกว่าจะส่งตัวแทนมา  เพิ่งจะเช็คชื่อไปเมื่อกี้นี้เอง  เป็นผู้หญิงครับชื่อ โอคาโมโตะ เคธี่  เธอสวยมากเลยครับ  หน้าเหมือนรุ่นพี่เคโตะเปี้ยบเลย”  รุ่นน้องคนนั้นยิ้มให้ผม

      ผมรู้สึกตัวชา  หูอื้อไปชั่วขณะ  รุ่นพี่เคโตะไม่ได้มาครับ  เสียงของรุ่นน้องดูเหมือนจะดังก้องอยู่ในหัวผมไม่ยอมหยุด  นี่เคโตะโกหกผมเหรอเนี่ย??  ว่าแต่ว่า  โอคาโมโตะ เคธี่นี่ใครหว่า??  ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเคโตะมีพี่สาวหรือน้องสาวด้วย

      “รุ่นพี่ครับ”  เจ้าเด็กนั่นเรียกผมอีก  “ถ้ารุ่นพี่จะหาคุณเคธี่  เมื่อกี้รุ่นพี่นามิเพิ่งจะพาเธอไปครับ  เห็นพาไปที่อาคาร 2 สงสัยจะไปท้าพิสูจน์อะไรบางอย่างล่ะมั้ง”  เด็กนั่นหัวเราะอย่างกับมันเป็นเรื่องตลกเสียเต็มประดา  นี่ซีเรียสนะเว้ย!

      ไปที่อาคาร 2 งั้นเหรอ?  นั่นมันอาคารที่มีเรื่องเล่าของผีนักเรียนที่โดดตึกตายเมื่อ 10 ปีก่อนนี่!  ตายล่ะเคธี่จัง!!  เจ้าหล่อนจะรู้มั้ยเนี่ย???  เคโตะเองก็เหมือนจะยังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเหมือนกัน  คิดได้แค่นั้นผมก็รีบแจ้นไปที่อาคาร 2 ทันที

       

      อาคารที่อดีตเคยเป็นสีขาวตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าผม  ไม่มีแม้แสงไฟสักดวงส่องสว่าง  อาคารสูง 3 ชั้นตรงหน้าช่างดูหดหู่และเปล่าเปลี่ยวชวนขนลุกยิ่งนักเมื่ออยู่ในยามสนธยาเช่นนี้  ทั้งๆที่เมื่อกลางวันยังมีนักเรียนวิ่งเล่นกันอยู่เลย  แต่ตอนนี้กลับมองไม่เห็นสิ่งที่หายใจได้เลยสักอย่างเดียว  อยากช่วยเคธี่จังก็อยากช่วยนะครับ  แต่ว่าจะกลัวก็กลัว  จะทำยังไงดี  ถ้าจะให้หาทุกห้องมันก็เป็นไปไม่ได้หรอกน่า

      สักพักผมสังเกตเห็นแสงจากไฟฉายสองสามดวงซึ่งคนถือกำลังเดินลงมาจากอาคาร  ผมรีบหลบเข้าหลังต้นไม้ทันทีเพื่อไม่ให้พวกนั้นเห็น  กลุ่มคน 3 คนเดินมาพร้อมส่งเสียงพูดคุยเจี้ยวจ้าว  หนึ่งในนั้นคือยัยนามิผมจำหน้าหล่อนได้ดี  ส่วนอีก 2 คนก็คงเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับหล่อนน่ะแหละ  ผมจำไม่ได้เพราะเห็นหน้าไม่ชัด

      “ยัยเคธี่นี่ตลกเนาะ  หลอกนิดเดียวก็เป็นลมไปซะแล้ว”  นามิเปิดประเด็น

      “เธอได้ยินตอนที่ยัยนั่นกรี๊ดตอนที่เราบอกว่าเห็นอะไรวูบวาบตรงหน้าต่างมั้ย  ฉันอยากให้อิตายูโตะมาเห็นแฟนมันตอนนั้นจังเลยอ่ะ  คงจะได้เห็นภาพสโลว์โมชั่นตอนที่อิตานั่นวิ่งไปรับแฟนมันที่กำลังจะล้มลงแน่เลย  อย่างกับพระเอกแน่ะ”  หญิงสาวในชุดนางแมวป่าหัวเราะคิกคักล้อเลียนผมในจินตนาการของเธอ  สนุกนักหรือไงที่ได้แกล้งคนอื่นเขาน่ะ!

      “แต่เคธี่จังจะเป็นไรแน่เหรอ”  เด็กหญิงใส่แว่นคนหนึ่งพูด...  แต่ดูจากชุดแล้วนั่นมันผู้ชายนี่หว่า  รู้สึกว่าคนนี้จะชื่อ จิเน็น ยูริ  หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ  เป็นรุ่นน้องที่ร่ำลือกันว่ามีพลังพิเศษสามารถติดต่อกับวิญญาณได้  เขาคงโดนเจ้าพวกนี้บังคับให้มาด้วยแน่

      “นี่จิเน็น  อย่าปอดแหกได้มั้ย  นิดๆหน่อยๆยัยนั่นไม่เป็นไรหรอกน่า”  นามิต่อว่า  “ก็ใครใช้ให้อิตาเสาไฟฟ้ายูโตะมาขัดจังหวะการขอเดทของฉันกับเคโตะคุงล่ะ  ให้แฟนมันโดนซะบ้างก็ดี”  เธอแสยะยิ้มอย่างนึกสมเพซผมในใจ  นังบ้าเอ๊ย!  ผมคิด  เจ้าหล่อนหันไปถลึงตาใส่ยูริตัวน้อยผู้น่าสงสารอีกครั้ง  “แล้วแกอย่าคิดไปช่วยมันเด็ดขาด  ไม่งั้นแกโดนหนักแน่”

      ยูริทำท่าหงอก่อนจะเดินไปตามพวกนั้นไปเงียบๆ  “เอ่อคือ...”

      “อะไรยะ?”  นามิหันมาแว้ดใส่

      “พวกคุณไปก่อนเถอะครับ  มีวิญญาณตามพวกเรามา  ผมต้องทำพิธีก่อนเพื่อไม่ให้เขาตามพวกคุณไปถึงบ้าน  เพราะพวกคุณได้ไปทำลายความสงบของเขาพวกเขาก็เลยแค้น”  ยูริพูดอย่างนิ่งเฉยแต่ผมนี่ขนลุกเกรียวไปแล้ว!  แม้จะอยู่ในที่มืดแต่ผมก็รู้ว่าพวกผู้หญิงสองนั้นหน้าซีดเผือดแค่ไหน  พวกหล่อนกรี๊ดแล้ววิ่งหนีไปโดยไม่รอยูริ  เจ้าเด็กนั่นถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยเสียงอันดัง  “รุ่นพี่ยูโตะครับ  ออกมาเถอะ  ผมจะพารุ่นพี่ไปหาคุณเคธี่เอง”

      ผมสะดุ้งโหยง  นี่เขารู้ตลอดเลยเหรอว่าผมอยู่ที่นี่  ผมออกจากที่ซ่อนแล้วเดินตรงไปหายูริ

      เจ้าเด็กนั่นยิ้ม  “ผมรู้ว่าคุณเคธี่อยู่ที่ไหน  ผมจะพารุ่นพี่ไปหาเธอเอง”

       

      ภายในอาคาร 2  ที่ทั้งมืด วังเวงและเย็นยะเยือก  ผมเดินตามยูริไปเงียบๆ จนไปถึงห้องที่อยู่บนชั้นสูงสูด  ห้อง 237  “ห้องนี่แหละครับที่คุณเคธี่อยู่”  ยูริพูด  ผมแทบจะถลันเข้าไปทันทีถ้ายูริไม่ห้ามขึ้นซะก่อน  “อย่าเพิ่งครับรุ่นพี่ยูโตะ  ตอนนี้คานะจังกำลังดูแลเธออยู่  ผมขอคุยกับคานะจังก่อนก็แล้วกันนะครับเพราะไม่งั้นรุ่นพี่อาจจะโดนเหมือนคุณเคธี่ไปอีกคนก็ได้”

      “โดนเหรอ?  โดนอะไร?  แล้วคานะจังเป็นใครเหรอ?”  ผมถามด้วยความสงสัย

      ยูริหันมายิ้มน้อยๆ ให้  “เธอโดดตึกตายเมื่อ 10 ปีก่อนไงครับ  วิญญาณเธอยังจองจำอยู่ที่นี่ไม่ได้ไปไหน”  ผมหูผึ่งขนลุกขึ้นทั้งแถบ  ยูริยิ้มอย่างเข้าใจ  เขายืนนิ่งๆแล้วหลับตาลง  ช่วงเวลาเพียงแค่ 2-3 นาทีที่ยูริหลับตาเพื่อติดต่อกับวิญญาณที่สิงอยู่ที่นี่มันคือช่วงเวลาที่ผมทรมานเหลือเกิน  การตระหนักรู้ว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่มนุษย์ทำให้ผมแทบจะหักห้ามความกลัวไว้ไม่ได้

      สักพักยูริก็ลืมตาขึ้น  ผมรีบถามเขาด้วยความร้อนรน  “เป็นไงบ้าง?  เคธี่จังไม่เป็นไรใช่มั้ย”

      รอยยิ้มยังไม่จางหายไปจากใบหน้าของยูริ  “มีแต่พี่เท่านั้นแล้วนะครับที่ช่วยเธอได้  รีบเข้าไปสิครับ”  ผมใจหล่นวูบเมื่อยูริพูดแบบนี้  เกิดอะไรกับเคธี่?  ผมรีบเปิดประตูเข้าไปทันทีโดยไม่รอช้า

      กลิ่นอับอย่างประหลาดเข้ามาปะทะจมูก  ทั้งๆ ที่หน้าต่างทุกบานปิดหมดแต่ผมรู้สึกได้ว่ามีลมพัดวูบหนึ่งผ่านตัวผมไป  ขนผมลุกวาบไปทั้งตัวแต่ผมพยายามจะไม่สนใจมันหรือนึกถึงว่าอะไรที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น  ผมกวาดสายตาไปทั่วห้องเพื่อหาเคธี่  พลันนั้นผมก็เห็นเธอที่นอนสลบอยู่กลางห้อง  ผมรีบวิ่งเข้าไปประคองร่างของเธอขึ้นมาทันที

      ใบหน้าขาวเนียนอมชมพู  ดวงตาที่กรีดอายลายเนอร์ทำให้ดูคมมีเสน่ห์ขึ้น  จมูกโด่งสวยได้รูป  ริมฝีปากเป็นกระจับที่เผยอออกเล็กน้อยนั้น  ครั้งแรกที่ผมเห็นใบหน้าของเธอผมก็จำได้ทันทีว่านี่ต้องเป็นคนๆนั้นไม่ผิดแน่  เคโตะอยู่ในชุดกระโปรงสีน้ำเงินเข้มปกปิดทุกส่วนของร่างกายยกเว้นบริเวณลำคอที่เปิดกว้างทำให้เธอ เอ๊ย! เขาดูเซ็กซี่ขึ้น  “เคโตะ”  ผมเรียกเขาเสียงแผ่วเบา  แต่เคโตะยังคงนิ่งเฉย  ดวงตาคมสวยนั้นยังคงปิดอยู่  “เคโตะ”  ผมเรียกเขาอีกครั้ง  แต่ปฏิกิริยาที่ตอบกลับมาก็ยังคงเป็นความเงียบ  ผมจับมือของเคโตะไว้แต่กลับสัมผัสได้ถึงไอแห่งความเย็นแทนที่จะเป็นไออุ่นแห่งชีวิต  ไม่นะ!  เกิดอะไรขึ้นกับเคโตะ?

      จูบเธอสิ

      ผมหันหลังกลับทันที  รู้สึกว่าขนลุกเกรียวขึ้นมาอีกครั้ง  เสียงนั้นกระซิบแผ่วเบาอยู่ในที่ไกลแสนไกลแต่ผมกลับรู้สึกได้ว่าเธอคนนั้นพูดกับผมที่ข้างหูนี่เอง  จูบงั้นเหรอ?  ความกลัวจับขั้วหัวใจทำให้ผมอยากจะร้องไห้  ยูริหายไปไหนซะแล้ว  ลมเย็นวูบหนึ่งผ่านตัวผมไปอีกครั้งพร้อมเสียงกระซิบของหญิงสาวคนเดิม

      คนในอ้อมกอดของเธอ  ไม่ช้าไม่นานลมหายใจเขาก็จะหมดลง  มีเพียงความรักของเธอเท่านั้นที่จะดึงเขากลับมาได้

      ผมรู้สึกได้ว่าน้ำตาผมกำลังไหล  “ผมจะช่วยเขาได้ยังไงครับ”

      เด็กคนนี้ตกใจจนทำให้วิญญาณหลุดออกจากร่าง  ใช้ความรักของเธอดึงเขากลับมาสิ  จูบเขาสิเจ้าเด็กน้อย

      ผมนิ่งตรึกตรองกับคำพูดนั้น  มือของเคโตะเย็นชืดและสีเลือดบนใบหน้าเริ่มจางหาย  ลมหายใจเพียงแผ่วเบาดังให้ได้ยิน  ผมมองใบหน้าสวยนั้นอีกครั้ง  น้ำตาหยดหนึ่งหยดลงไปบนแก้มใสของเขา  ผมก้มหน้าเข้าไปใกล้แล้วกระซิบข้างหูเคโตะราวกับเขาจะได้ยิน  “นายต้องกลับมานะ  ฉันรักนายนะเคโตะ”  ผมเลื่อนริมฝีปากมาสัมผัสกับริมฝีปากนุ่มของเคโตะเพียงแผ่วเบา  สัมผัสนั้นราวกับดูดพลังชีวิตผมไปหมด  สิ่งสุดท้ายที่รับรู้ได้คือจูบอ่อนโยนที่เคโตะตอบสนองกลับเท่านั้นก่อนที่แสงสว่างทั้งหมดจะหายไป

       

      ความรู้สึกอันอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย  ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมา  หมอกสีขาวแผ่ปกคลุมม่านตาของผมราวกับอยู่ในความฝัน  ผมหลับตาอีกครั้งเพื่อให้สายตาได้ปรับสภาพ

      “ยูโตะ  ไม่เป็นไรแล้วนะ”  น้ำเสียงทุ้มต่ำอ่อนหวานที่แสนคุ้นเคยกระซิบที่ข้างหูผม  ราวกับมันเป็นเสียงสวรรค์ที่ทำให้ความเหนื่อยล้าทั้งหมดมันหายไป  “ฉันอยู่นี่แล้วนะ  นายต้องไม่เป็นไร”

      “เคโตะ”  ผมเรียกเขาเสียงแหบแห้ง  มือของเคโตะจับมือผมไว้อย่างอ่อนโยน

      “ว่าไง”  เขาถาม

      “นายไม่เป็นไรนะ”

      เสียงหัวเราะสดใสของเคโตะดังกังวาน  “ลืมตาสิยูโตะแล้วนายจะรู้ว่าฉันเป็นอะไรหรือเปล่า”

      ผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง  สิ่งแรกที่เห็นคือรอยยิ้มละมุนละไมของเคโตะที่ส่งให้ผม  ใบหน้าสวยนั้นพร้อมชุดที่เขาสวมเป็นภาพเดียวกับเคโตะที่ผมเห็นก่อนจะสลบไป  “ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน”

      “ที่เดิม  แต่ฉันพานายลงมาแล้ว  ตอนนี้เราอยู่ที่หน้าอาคาร 2  นายโอเคแล้วใช่มั้ย?”

      “หน้าอาคาร 2 เหรอ”  เสียงผมดูโหวงๆอย่างเหนื่อยล้า  ผมพยายามยันตันเองให้ลุกขึ้นแต่ร่างกายกลับอ่อนล้าไปหมด

      เคโตะดันบ่าผมไว้  “อย่าเพิ่งลุกนะ  นายเพิ่งจะฟื้นต้องพักผ่อนมากๆ”

      “เกิดอะไรขึ้น”

      “นายเป็นคนช่วยฉันไว้ไง  จำสิ่งที่ตัวเองทำได้หรือเปล่า”  เขาถามผมด้วยท่าทางเขินอายเล็กน้อย  ผมคิดถึงสิ่งที่ตัวเองได้ทำก่อนที่จะสลบไป  เคโตะยิ้มก่อนจะก้มลงมาจูบผมอย่างอ่อนโยน  ชั่วขณะผมรู้สึกว่าไออุ่นชีวิตกำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

      “นั่นไง!  ผมว่าแล้วว่ามันต้องได้ผล  หน้าเขามีสีเลือดแล้วเห็นมั้ย”  เสียงของยูริดังขึ้นข้างๆ  “จูบเขาอีกสิครับรุ่นพี่เคโตะ”

      เคโตะขมวดคิ้วเล็กน้อย  แต่ผมว่าเขาพยายามซ่อนความอายของตัวเองมากกว่า  “เจ้าเด็กบ้า!  พูดมากไปแล้วนะ”  เขาผละจากผมแล้ววิ่งไล่เตะเจ้ารุ่นน้องพูดมากนั่น  ภาพของหญิงสาวกระโปรงยาวไล่เตะเด็กน้อยเป็นภาพที่แปลกตาดีแต่ผมว่ามันน่ารักมากกว่า  เคโตะหยุดพักเพราะตามเจ้าเด็กยูริไม่ทัน  “ฝากไว้ก่อนเถอะ!  เขาตะโกนไล่หลังเจ้าเด็กน้อย

      สักพักความเหนื่อยล้าทั้งหมดของผมก็หายไป  ผมลุกขึ้นยืนและชั่วขณะนั้นผมเข้าไปยืนประชิดตัวเคโตะ  เขาหันหลังกลับทันทีและจ้องมองผมด้วยดวงตาคมที่เบิกกว้างกว่าปกติเล็กน้อย  น่ารักจังนะ  ผมสัมผัสแก้มเนียนของเขาอย่างแผ่วเบา  “วันนี้นายสวยมากเคโตะ”

      ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอยิ้มออกเล็กน้อย  แก้มใสขึ้นสีระเรื่ออย่างชัดเจน  “วันนี้นายก็หล่อมากยูโตะ”

      ผมช้อนคางมนนั้นขึ้นมาก่อนจะประทับจูบลงไปบนริมฝีปากสวยนั้นอีกครั้ง  เคโตะตอบสนองกลับด้วยจูบที่อ่อนโยนมากเช่นกัน  ความอบอุ่นยังคงอยู่เนิ่นนานจนกระทั่ง....

      แชะ!

      เสียงของกล้องถ่ายรูปดังขึ้นพร้อมแสงแฟลชที่สว่างวาบทำให้พวกเราผละออกจากกันทันที  ผมหันไปทางต้นเสียง  ยูริยืนยิ้มแฉ่งพร้อมกล้องถ่ายรูปในมือ  “เป็นจูบที่น่ารักดีจัง”  เขาพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร

      “เจ้าเด็กบ้า!!  ก็บอกว่าอย่าถ่ายรูปไง!!  และแล้วเจ้าหญิงแสนสวยของผมก็หอบกระโปรงยาววิ่งไล่เตะเด็กน้อยคนเดิมอีกครั้ง  เป็นภาพที่ประทับใจผมเสียเหลือเกิน  ผมหัวเราะกับตัวเองเบาๆ  แม้จะไม่มีคำพูดใดๆ เปล่งออกมา  แต่ผมก็รับรู้ว่าจูบของเคโตะนั้นต้องการจะบอกอะไร  ผมสมหวังแล้วใช่มั้ยนะ?  ในที่สุดเคโตะก็อนุญาตให้ผมได้เป็นเจ้าชายคนนั้นของเขาสักที

       

      -------------------------------------------------- THE END --------------------------------------------------

       

      โปรดอย่าได้หาสาระใดๆ ในเรื่องนี้  5555555+

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×